สิ่งที่ควรรู้: ขั้นตอนก่อนวันสัมภาษณ์

เชื่อว่าทุกคนที่ได้รับโทรศัพท์ในการนัดหมายให้ไปสัมภาษณ์งาน หลังจากวางสายก็จะมีข้อสงสัยในการเตรียมตัวผุดขึ้นในหัวเราอย่างมากมาย ไม่ว่าจะต้องเตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง แต่งตัวยังไงดี ต้องเตรียมภาษาอังกฤษไปหรือเปล่า แล้วถ้าหลงทาง ไปไม่ทันนัดจะเป็นอะไรมั้ย อยากจะโทรไปหา HR อีกรอบใจแทบขาด แต่ก็กล้าๆกลัวๆ เดี๋ยวป้า HR จะด่าหรือติดลบคะแนนเรามั้ยถ้าถามเยอะ!!

 

วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในขั้นตอนก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์กันนะคะ

 

1. การเตรียมเอกสาร

เอกสารในการนำไปยื่นสัมภาษณ์งาน ตามมาตรฐานทั่วไป ก็จะมีใบสมัครของบริษัท เรซูเม่ รูปถ่าย สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบรับรองผลการศึกษาตัวจบ ใบประกาศต่างๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ การแข่งขันหรืออบรมอะไรมา สำเนาผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษ ส่วนผู้ชายก็จะมีเพิ่มสำเนาใบผ่านทหาร เป็นต้น ส่วนพวก สลิปเงินเดือนหรือใบตรวจสุขภาพ หากผ่านการสัมภาษณ์แล้ว ค่อยนำไปยื่นให้กับบริษัทอีกครั้งก็ได้ค่ะ

 

สิ่งสำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้คือเราต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์นะคะ เซ็นสำเนารับรองถูกต้องให้ครบถ้วน เรียงเอกสาร จัดแยกเป็นชุดๆ อย่าไปเซ็นชื่อ หรือดึงกระจัดกระจายตอนเข้าห้องสัมภาษณ์นะคะ จะทำให้ดูเราเป็นคนไม่เตรียมพร้อม คะแนนติดลบตั้งแต่ยังไม่เริ่มสัมภาษณ์เลยค่ะ

 

2. การแต่งกาย
องค์ประกอบสำคัญสิ่งแรกที่ผู้สัมภาษณ์จะเห็นเราก็คือ บุคลิกภายนอก ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้า หน้า ผม ที่จะเป็นด่านแรกที่ผู้สัมภาษณ์ตัดสินความเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราแต่งกายอย่างเหมาะสมในการสัมภาษณ์งานไป ก็ทำให้เราได้คะแนนด่านแรกและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนสัมภาษณ์ได้แน่นอนค่ะ

 

คำว่าแต่งกายอย่างเหมาะสมในการสัมภาษณ์ คืออะไร? สิ่งที่เน้นคือความสะอาด มองแล้วต้องสะอาดตา ผมเผ้าไม่รกรุงรัง สำหรับผู้หญิงนั้นเสื้อผ้าอาจจะเป็นสีเรียบๆ เสื้อไม่รัดเกิน ถ้าตามมาตรฐานก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีเรียบก็น่ารักเรียบร้อยดีค่ะ สำหรับเสื้อยืด หรือเสื้อผ่าลึกควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมากค่ะ เพราะอาจจะทำให้คณะกรรมการที่สัมภาษณ์ดูเราไม่มืออาชีพตั้งแต่แรกเห็นค่ะ ส่วนคำถามที่ว่าควรใส่กระโปรงหรือกางเกงไปนั้น เอาตามที่เราสะดวกเลยค่ะ ถ้าเป็นกระโปรงก็ควรจะไม่สั้นไม่รัดเกิน พอดีเข่ากำลังดีค่ะ หรือกางเกงก็ควรเป็นกางเกงผ้า แสล็ค สีเข้มๆ ดูเป็น Working Woman เท่ห์ๆไปอีกแบบ

 

และก็ควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงยีนส์นะคะ เก็บไว้ใส่สวยๆตอนไปเที่ยวดีกว่าคะ จำไว้นะคะว่าการแต่งกายสำหรับสัมภาษณ์งาน คือการเสริมบุคลิกให้เราดูดีแบบมืออาชีพ เหมาะกับชีวิตการทำงาน ไม่ใช่สวยแบบในวันหยุด ที่เราจะใส่อะไร กระชากวัยขนาดไหนก็ได้ค่ะ ส่วนเรื่องการแต่งหน้า หลายคนถามว่าจำเป็นต้องแต่งมั้ยค่ะ? แล้วถ้าแต่งต้องแต่งเข้มแค่ไหน? ตามที่บอกไปนะคะว่า คณะกรรมการสัมภาษณ์กำลังมองหาคนบุคลิกดีที่เหมาะกับวัยทำงาน เพราะฉะนั้นการแต่งหน้าอาจจะแต่งแบบพอดี

 

ดูผิวสุขภาพดีมีเลือดฝาด ดูเป็นคนดูแลตัวเอง คณะกรรมการจะได้ไม่ตกใจกับหน้าสดของเราเกินไปค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องแต่งหน้าเข้มเหมือนไปงานราตรี ทาปากแดงมันวาว ใส่บิ๊กอายหรือติดขนตาปลอมให้ตาหวานเพื่อไปสัมภาษณ์งานก็ได้ค่ะ สุดท้ายคณะกรรมการก็จะดูในส่วนของ ความคิด ทัศนคติ ประสบการณ์ ไหวพริบของเรามากกว่าค่ะ การแต่งหน้าเป็นแค่ตัวเสริมบุคลิกให้ย้ำว่า คนนี้ทั้งเก่ง ทั้งดูดี ยิ่งเพิ่มความประทับใจให้คณะกรรมการประทับใจในตัวเราค่ะ

 

สำหรับผู้ชายอาจจะไม่ยุ่งยากเท่าผู้หญิง หน้าก็ไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องคิดว่าจะใส่กระโปรงหรือกางเกงดี

 

ขอแค่เสื้อผ้า ผมเผ้าดูสะอาดสะอ้าน ก็ช่วยให้ดูบุคลิกดีแล้วค่ะ ก่อนวันไปสัมภาษณ์ก็อาจจะโกนหนวดโกนเครา ตัดผมให้ดูเป็นทรง ไม่ยุ่งเหยิง ส่วนเสื้อผ้าผู้ชายก็ง่ายๆเลยค่ะ เสื้อเชิ้ตสีเรียบกับกางเกงแสล๊คสีเข้ม ก็ทำให้บุคลิกดี น่าเชื่อถือแบบมืออาชีพแล้วค่ะ

 

ฝากเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ชายบางคนที่ดูดบุหรี หรือคนทั่วไปที่อยากเสริมบุคลิกในการสัมภาษณ์ให้ดูดีกว่าเดิมอาจจะเคี้ยวหมากฝรั่งให้ลมหายใจหอมสดชื่นก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ก็ได้นะคะ เพราะบางทีห้องสัมภาษณ์บางบริษัท ระยะห่างอาจไม่ไกลมากจากที่นั่งคณะกรรมการที่สัมภาษณ์ แล้วการสัมภาษณ์เราต้องพูดอธิบายเยอะ อาจจะมีกลิ่นปากลอยไปรบกวนคนนั่งฟัง แล้วพาลเป็นการทำลายบุคลิกของเราได้ค่ะ เรื่องเล็กน้อยแต่ก็สำคัญในการสัมภาษณ์นะคะ

 

3. เวลา

 

เวลาในการนัดหมาย เราควรมีการประเมินเส้นทางและวางแผนก่อนวันที่ไปสัมภาษณ์จริง ควรมีการเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยสัก 1 ชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย เพราะเราจะไม่รู้ว่าการจราจรจะติดขัด หรือมีอุบัติเหตุบนท้องถนนในวันที่เราไปสัมภาษณ์หรือไม่ หากเราไปถึงก่อนเราก็จะมีเวลานั่งพัก ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง นั่งสงบสติอารมณ์ เตรียมตัวให้พร้อมและมั่นใจที่สุดก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ค่ะ

 

ข้อคำถามที่หลายคนถามว่า ควรไปรอก่อนเวลาสัมภาษณ์เท่าไรดีค่ะ ยิ่งไปก่อนเวลาสัมภาษณ์เยอะๆ คนสัมภาษณ์จะเห็นว่าเรายิ่งตั้งใจมั้ยค่ะ? ขอตอบเลยว่าไม่เกี่ยวนะคะ ควรเข้าไปติดต่อก่อนเวลานัดหมายสัก 15 นาที ถึง 30 นาทีก็พอค่ะ แสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนตรงต่อเวลา มาก่อนเวลานัดหมายค่ะ หากเรามาเร็วกว่าเวลานัดหมายเยอะ ทางฝั่งคณะกรรมการเขาก็อาจจะติดงานอื่นที่เขานัดหมายกับคนอื่นไว้อยู่แล้ว ยังไงเขาก็จะเข้าสัมภาษณ์ในเวลาที่นัดไว้ในตารางนัด เราก็จะพาลนั่งรอจนง่วงได้นะคะ

 

แล้วหากมีเหตุฉุกเฉิน เช่น เจออุบัติเหตุบนท้องถนน ทำให้เรามาไม่ทันเวลาที่นัดหมาย ควรทำอย่างไรดี? หากเราประเมินล่วงหน้าแล้วว่าจะถึงไม่ทันเวลานัดหมาย  ก็ให้โทรหาเบอร์ของคนที่โทรมาติดต่อเราล่วงหน้าเลยค่ะ ว่าเราอยู่ทีไหนแล้ว จะถึงประมาณกี่โมง บอกสาเหตุที่เราไปไม่ทัน พร้อมกับขอโทษอย่างสุภาพ อย่าให้สาเหตุว่าเราออกจากบ้านช้า หรือเราไม่ได้ศึกษาเส้นทางมาก่อนเด็ดขาดนะคะ และเน้นย้ำว่าต้องโทรล่วงหน้า อย่าโทรตอนที่ถึงเวลานัดแล้ว การที่เราโทรไปก็จะทำให้ทาง HR ประสานงานต่อไปที่คณะกรรมการที่จะเข้าสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนเวลาและวางแผนไปทำอย่างอื่นก่อน เราก็จะได้ไม่โดนตัดคะแนนเรื่องไม่ตรงต่อเวลาเพราะมีการสื่อสารชี้แจงล่วงหน้าด้วยเหตุสุดวิสัยคะ

 

4. มารยาทในการโทรสอบถามข้อมูล

 

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่คนที่จะไปสัมภาษณ์งานมีข้อสงสัยอย่างมาก เพราะหลายๆครั้งข้อมูลตอนที่ได้รับสายโทรนัดสัมภาษณ์อาจจะยังไม่เคลียร์ หรือยังคิดไม่ทันว่าจะถามอะไร พอคิดขึ้นมาได้ก็ไม่รู้จะโทรกลับไปถามดีหรือเปล่า กล้าๆกลัวๆแต่ก็อยากเตรียมตัวไปให้ดีที่สุด ทำยังไงดี?

 

แนะนำเลยนะคะว่า ถ้าเรามีข้อสงสัยที่สำคัญเกี่ยวกับการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์งานของเรา เช่น เอกสารอะไรที่บริษัทต้องการเพิ่มเติม หรือเส้นทางในการไปบริษัท ให้เราจดรวบรวมไว้ทั้งหมดและโทรถามทีเดียวค่ะ ส่วนใหญ่ HR ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสรรหา จะคุ้นชินกับการตอบข้อสงสัยของคนที่มาสัมภาษณ์อยู่แล้ว แต่ข้อคำถามเราก็จะต้องไม่เป็นการฆ่าตัวเองนะคะ เช่น โทรกลับไปถามพี่ว่า พี่ค่ะเงินเดือนหนูจะได้เท่าไรค่ะ? บริษัทพี่ทำอะไรค่ะ?

 

แล้วหนูต้องใส่ชุดอะไรไปค่ะ? พี่ค่ะหนูต้องเตรียมตัวพูดภาษาอังกฤษไปหรือเปล่าค่ะ? คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่จะแสดงให้เห็นถึงความไม่มืออาชีพของเรานะคะ แนะนำว่าสมัยนี้ทุกอย่างหาได้ในอินเตอร์เนท ให้ลองเสิชกูเกิ้ลถึงวิธีการเตรียมตัวต่างๆในการสัมภาษณ์งาน และให้คิดว่ายังไงเตรียมตัวไปมากกว่าที่ทางบริษัทต้องการ เช่น เตรียมภาษาอังกฤษไปตอบคำถามมากมาย แต่บริษัทถามมาแค่ไม่กี่คำถาม ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ของเรา ทำให้เรามั่นใจ คำตอบสวยงามเพราะผ่านการคิดและซ้อมมาแล้ว เราก็จะดูเด่นกว่าคนอื่นๆแน่นอนค่ะ

 

ข้อระวังอีกข้อหนึ่งคือ ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ การติดต่อกับทางบริษัทอาจจะมีหลากหลายช่องทาง และทางที่นิยมในการติดต่อที่ง่ายขึ้น คือช่องทางการพูดคุยผ่านไลน์ หาก HR บางคนใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อเราแล้วมีไลน์ส่วนตัวหรือไลน์บริษัทขึ้น การที่เราจะติดต่อถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทางไลน์อาจจะต้องโทรไปขออนุญาตเจ้าตัวก่อน หรือหากมีการถามและตอบกับHRผ่านช่องทางไลน์ เราอาจจะถามคำถามที่เหมาะสมและพอสมควร อย่าถามหรือชวนคุยเหมือนเพื่อนเล่นมากเกินไป เพราะอย่าลืมว่าเรายังเป็นผู้สมัครหนึ่งคนที่ทางHRสามารถประเมินเราได้ตลอดเวลา หากเราถามอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรก็จะคะแนนติดลบได้ง่ายๆนะคะ

 

ท้ายสุดนี้อย่าลืมนะคะว่าคะแนนส่วนใหญ่จะพิจารณาจากการสัมภาษณ์ในวันที่สัมภาษณ์จริง หากเราเตรียมตัวทั้งในส่วนของการตอบคำถาม และ ส่วนประกอบอื่นๆก่อนวันสัมภาษณ์ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็จะทำให้เรากลายเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นจริงๆค่ะ

  •