หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เพียงการกระทำที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยของเราก็อาจจะทำให้ชีวิตเราพลิกได้งานทำอย่างที่เราต้องการ วันนี้เรามีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการหางาน เพื่อให้ผู้ที่กำลังหางาน สามารถนำไปใช้ในชีวิตเพื่อให้ได้งาน

 

ดังคำกล่าวของแคลวิน คูลิดจ์ ซึ่งชื่อเต็มของท่านคือ จอห์น แคลวิน คูลิดจ์ จูเนียร์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 30 ของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า     “เราไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที แต่เราสามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ทันที”

 

สิ่งที่เราสามารถทำได้ทันทีเพื่อให้เราสามารถหางานได้ รวมถึงส่งรีซูเม่ไปให้กับทางบริษัทที่เราต้องการสมัครเค้าสามารถอ่านและเข้าใจในความสามารถ ทักษะ ความรู้ และความเป็นตัวเราผ่านกระดาษหน้าเดียวหรือสองหน้าที่เราส่งไปให้เค้า จนกระทั่งการเรียกเราไปสัมภาษณ์ ซึ่งในขณะที่สัมภาษณ์เราเองก็สามารถทำสิ่งเล็กน้อย ที่สามารถสร้างความประทับใจกับผู้สัมภาษณ์กลายเป็นผู้สมัครที่น่าสนใจได้ในที่สุด

 

  1. ฝึกอ่านข่าวเศรษฐกิจ/การเมือง/ต่างประเทศ หรือ ข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่เราสนใจและไปสมัคร เพียงวันละคอลัมน์ จะช่วยทำให้เราเข้าใจในสถานการณ์ความเป็นไปของโลกใบนี้ จะทำให้เราเป็นผู้ที่มีความรู้รอบตัว เข้าใจสถานการณ์ของบ้านเมือง และเรียนรู้วิธีปรับตัว ที่สำคัญเราจะเห็นแนวโน้มของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมว่าธุรกิจแนวไหนเริ่มสโลดาวน์ หรือเริ่มเป็นตลาดที่น่าสนใจและกำลังไปได้สวยในอนาคต เป็นต้น

  2. เพิ่มความสามารถของตัวเองให้หลากหลาย เมื่อเรามีความรู้ด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ก็ถามตัวเองว่าอยากจะลงลึกเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้หรือเปล่า เช่น หากเราเรียนจบด้านบัญชี อยากจะเอาดีด้านบัญชีเลยหรือเปล่า หรือ อยากเป็นผู้บริหารที่ทำงานมากกว่าบัญชี เมื่อเข้าใจได้เป้าหมายแล้วก็เริ่มหาทางเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง ผ่านการศึกษาเพิ่มเติมความรู้ให้กับตนเอง ไม่ว่าจะหาอ่านเองทางด้านอินเตอร์เน็ต หรือ อ่านหนังสือ หรือ พบปะพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น

  3. เขียนรูซูเม่ (ประวัติส่วนตัว) ให้แลดูแตกต่าง ประหนึ่งเหมือนผู้หญิงแต่งตัวแบบแซ่บเวอร์ คือ วางรูปแบบให้เตะตา แบบเห็นแล้วต้องไม่มองผ่าน ต้องอ่านดูเพราะการวางรูปแบบ และสีทำให้น่าสนใจ การเล่าเรื่องต้องไม่ใช่แบบตลาดทั่วไป ต้องวางโครงเรื่องเหมือนสินค้าขายโฆษณา อ่านแล้วเข้าใจว่าเราเป็นคนอย่างไร มีทักษะอะไรที่ตลาดหรืองานนั้น ๆ ต้องการ มีความสามารถในการที่จะทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ  (Contribution) อย่างไร  ภาพคือตัวเรา หรือภาพสะท้อนความเป็นตัวเรา แชร์เฟสบุ๊ค หรือ ไอจี ถึงแม้เป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ถ้าเราทำให้เป็นการขายความเป็นตัวเราก็สามารถทำได้มันคือการเปิดเผยตัวตน คือ ความโปร่งใส (Transparency) และงานอดิเรกบางอย่างของเราก็สามารถแมตช์กับงานนั้น หรือวัฒนธรรมขององค์กร (Fit with Company Culture) นั้น ได้  เนื้อหา ประเด็นที่ที่น่าสนใจของเรา ว่าเป็นอย่างไร เริ่ดทางด้านไหน ทำอะไรมาแล้วภูมิใจและสำเร็จ หรือ มีโครงการอะไรที่เราคิดขึ้นมาแล้วนำไปใช้ได้สำเร็จ รวมหมายถึงความยากลำบาก ปัญหาที่พบ เราใช้เทคนิคหรือวิธีการใด ๆ ในการก้าวข้ามพ้นเรื่องเหล่านี้ ทั้งหมดควรจะเล่าลงในเอกสารแผ่นเดียว หรือมากสุดไม่เกิดสองแผ่น  

  4. เดินสายหาช่องทาง แหล่งงาน เข้าหาผู้คน กลุ่มใหม่เพื่อเพิ่มเน็ตเวิร์คให้กับตัวเอง เริ่มต้นก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซน พบปะกับคนกลุ่มใหม่ ๆ เข้าร่วมกับกิจกรรมที่เราไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ถ้ากลุ่มนั้น กิจกรรมนั้น สัมพันธ์กับเป้าหมายหรืองานหรืออาชีพที่เราต้องการจะดีมาก เพราะมันสามารถต่อยอดทางความคิด ทางมิตรภาพ ทางการทำงานให้เราสามารถขยับขยายได้เป็นอย่างดี บางทีเราเค้าไปร่วมกลุ่มกับผู้ที่เป็นมืออาชีพในเรื่องนั้น ๆ ทำให้เราสามารถเปลี่ยนความคิด แนวคิด วิธีการ พฤติกรรมของเราได้เพียงแป๊บเดียว หรือ ทำให้เราเห็นช่องทางการได้งาน หรือทำงานของเราได้อย่างเร็วเร็ว พลังของมวลชนและคนที่มีแรงบันดาลใจเป็นเรื่องเดียวกันนั้นมหาศาล ยิ่งถ้าเป็นพลังงานทางด้านบวก ที่เป็นกลุ่มที่มาเจอกันเพื่อช่วยเหลือแบ่งปันยิ่งจะทำให้พลังนั้นส่งมาถึงเราอย่างมหาศาลได้เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน เราเองก็ต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกฝนและขยัน ถึงจะได้งานหรือสิ่งที่เราอยากทำด้วยเหมือนกัน

  5. ฝึกนั่งสมาธิ ให้จิตอยู่นิ่ง ๆ กับกาย และใจของเราทุกวัน ๆ ละสิบถึงสิบห้านาที สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราทำติดต่อกันประมาณสักเดือนหนึ่งโดยที่ไม่หยุดทำเลย จิตใจของเราจะหนักแน่นขึ้น สมองจะเรียงตัวดีขึ้น ทำให้การรับฟังหรือการแก้ไขปัญหาของเราฉลาดและรอบคอบขึ้น เวลาไปสัมภาษณ์งานก็ไม่เกร็ง รู้สึกตัวเบาสบาย ฟังคำถามชัดขึ้นและตอบได้ตรงประเด็นมากขึ้น เรื่องนี้เราอาจจะไม่ต้องเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อยากให้ทุกคนได้ลองนำไปทำและพิสูจน์ด้วยตัวของตนเองก่อน แล้วค่อยนำมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเอง

  6. ฝึกคิดบวก โดยการนั่งฝันหวานกลางวัน ๆ สักประมาณสองถึงสามนาที เห็นภาพของตัวเองที่ประสบความสำเร็จจากการไปสัมภาษณ์งานและได้ทำงานในบริษัทนั้น ๆ อย่างภาคภูมิใจ เห็นภาพของตัวเองในภาพของงานตำแหน่งนั้น ๆ ยิ้มให้ตัวเองเล็กน้อย ว่าเราสามารถทำได้เป็นที่ภูมิใจของตนเอง ยิ่งถ้าทำหลังจากออกจากการนั่งสมาธิหรือก่อนที่จะล้มหัวลงนอนได้จะดีมาก แต่ใช่ว่าจะฝันหวานอย่างเดียว แล้วไม่ฝึกฝนตนเอง ไม่ทำให้ตนเองมีความสามรถตรงตามตำแหน่งนั้น ๆ บางทีเทคนิคนี้ก็ไม่มีความนะคะ

  •