เราเคยคิดไหมว่า งานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้นั้นมันมั่นคงแล้ว หรือ คิดว่างานที่เราทำนั้นทำให้เรามีความก้าวหน้า เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่ต้องออกจากงานกระทันหัน ในวันที่องค์กรหรือบริษัทต้องการการเปลี่ยนแปลง คำถามคือ เรามีการเตรียมตัวเพื่อถึงวันนั้นกันอย่างไร หรือ เตรียมตัวเพื่อความก้าวหน้าของตัวเราเองกันอย่างไรบ้าง โลกนี้ผันเปลี่ยนและไม่แน่นอนนะ
การเตรียมตัวของเราตั้งแต่วันนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในวันที่เราจำเป็นต้องหางานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง หรือถ้าเรายังมีความสุขกับงานประจำที่ทำอยู่ทุกวัน สิ่งที่เราอาจจะได้กลับคืนมาคือการได้รับความก้าวหน้าในการทำงาน หรือ อย่างน้อยเราก็ได้ประสบการณ์ที่ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายและประสบความสำเร็จ หรือ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย หรือ ได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดที่เราทำนั่นเอง สิ่งที่เราจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้มีอะไรบ้างล่ะ มาดูกันครับ
-
ทำงานมากกว่าหน้าที่ของตัวเราเอง
ฟังดูเหมือนจะขัดใจนะครับ ว่าทำไมเราต้องทำงานมากกว่าหน้าที่ของตนเอง ทั้งที่เราก็ได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนเท่านี้เอง แต่นี่เป็นเคล็ดลับของการเตรียมตัวในการก้าวหน้าทางอาชีพ หรือ การก้าวไปสู่การทำงานที่ใหม่เมื่อถึงเวลาจำเป็นนะครับ เพราะอะไรนะเหรอครับ เพราะว่า การที่เราสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของการจัดการบริหารงานของเราภายใต้เวลาที่กำหนดไว้ได้เร็วกว่า ทำให้เรามีเวลาเหลือในการที่จะทำงานอื่น ๆ โดยเฉพาะงานของหัวหน้าเรา ถ้าเราได้ช่วยแบ่งเบางานเค้าได้ เราก็จะได้มีโอกาสเรียนรู้การบริหารงานจัดการงานในอีกก้าวหนึ่งของอาชีพ ยิ่งเราเจอหัวหน้างานขี้เกียจนี่บอกเลยว่าโชคเข้าข้างเราชัด ๆ เพราะเค้าจะไม่ทำงานเลย เราก็จะได้มีโอกาสทำงานแทนเค้า งานของเค้าเราก็พลอยรู้ไปด้วย ยามเมื่อติดขัดปัญหาเราก็อาศัยเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาของเค้าว่าทำอย่างไร ทำให้เราสามารถเพิ่มทักษะแบบครูลักพักจำโดยไม่รู้ตัว วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เราต้องทำ เราก็พร้อมเพราะเราเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว
-
ยกมืออาสารับงานที่ไม่ใช่แค่งานของเรา
การยกมืออาสาทำงานส่วนรวม หรือ งานของบริษัท อาจจะไม่เป็นที่ต้องการของคนทำงานที่เพียงแต่ทำงานอย่างเดียว โดยไม่ได้วางกลยุทธ์ในการทำงานไว้ เพราะการยกมืออาสาทำงานส่วนรวม เช่น เป็นคณะกรรมการกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท นั้นจะส่งผลให้เราได้เป็นที่รู้จักของเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหาร และถ้าบริษัทเราเป็นบริษัทที่เป็นเครือของต่างประเทศเราก็จะยิ่งได้รู้จักคนในวงกว้างมากกว่าแค่งานที่เราทำอยู่ประจำ และถ้าทำงานที่เราอาสาด้วยใจที่อยากทำเพื่อองค์กร เพื่อช่วยเหลือเพื่อน ๆ หรือ เพื่อคนอื่น ก็จะยิ่งทำให้เราติดนิสัยในการชอบช่วยเหลือผู้อื่น สิ่งที่เราได้รับกลับคืนมาทันทีคือจิตใจที่มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และผลตามมาคือ เราจะได้เรียนรู้และทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ได้มีโอกาสเข้าไปนำเสนอผลงาน โครงการที่เราทำกับผู้บริหารระดับสูง ได้มีโอกาสเข้าร่วมทำกิจกรรมสำคัญ ๆ ของบริษัท ได้ฝึกสังเกตุการทำงานของคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่แผนกของตนเอง ได้เห็นความคิดและมุมมองที่หลากหลาย เปิดกว้างโลกการทำงานของเรา ว่าแต่ละงานแต่ละกิจกรรมต่าง ๆ ก็มีสัญลักษณ์หรือมีการใช้ความรู้และทักษะที่แตกต่างกัน ทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วผ่านการทำกิจกรรมพวกนี้ เพียงแค่ยกมืออาสา ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ และที่สำคัญงานอาสาที่เราไปช่วยคนอื่นนั้น ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรไม่มีใครคาดหวังมีแต่คำขอบคุณและชื่นชมที่เราเข้าไปช่วยทุกครั้ง น่าสนใจนะครับ
-
เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
สำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจ สร้างความรู้ใหม่ในงานที่เราทำ หากเราได้รับมอบหมายให้ทำโครงการหรือหน้าที่ใดก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนักคือการรู้ให้จริง รู้ให้รอบ และรู้ให้ละเอียด อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียว เปิดมุมมองใหม่ พร้อมเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ๆ บอกตัวเองเสมอว่าเรานั้นมีศักยภาพในการเรียนรู้อยู่อย่างไม่จำกัด หน้าที่ของหากยังเป็นคนทำงานคือการอย่าหยุดพัฒนาตนเอง จงตื่นขึ้นมาพร้อมเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ เมื่อเรามั่นใจว่าความรู้ในงานของเรานั้นเพียงพอแล้ว ก็ลองเปิดใจเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่ชอบบ้าง พัฒนาตัวเองในด้านที่ไม่ถนัดหรือไม่เคยพัฒนามาก่อน สร้างความสมดุลย์ในสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา วิธีการเรียนรู้นั้นง่ายมาก เพียงแค่อ่านหนังสือ หาข้อมูลในโลกโซเชี่ยล หรือ อินเตอร์เน็จ เข้ารับการอบรมจากสถาบันการอบรมต่าง ๆ ฟังประสบการณ์โดยตรงจากผู้มีประสบการณ์ หมั่นทบทวนตัวเองว่าเรานั้นยังมีอะไรที่เราควรเรียนรู้ เพื่อจะอยู่อย่างผู้มีความเตรียมพร้อมในทุกสถาณการณ์ ไม่ว่าวันนั้นเราจะยังมีงาน หรือ กำลังหางานก็ตาม
-
ภาษาที่สามอย่าหยุดมองหา
ตอนนี้การพูดได้สองภาษา คือภาษาไทยบ้านเรา และภาษาอังกฤษซึ่งถือเป็นภาษาสากลนั้น เป็นเรื่องที่ปกติ เพราะทุกคนก็พูดได้สองภาษานี้เกือบทุกคน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้กับเราพร้อมโอกาสที่แตกต่างคือ การที่เราควรจะฝึกภาษาที่สามเพื่อใช้ในการทำงาน เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาอาราบิค หรือ แม้นกระทั่งภาษาในแถบเอเซียของเรา เช่น ภาษาเวียดนาม ภาษาพม่า หรือ เขมร เป็นต้น เมื่อวันหนึ่งที่บริษัทต้องการไปขยายงานหรือสาขาที่ต่างประเทศซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้คนที่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ ก็ถือว่าเป็นความได้เปรียบของเรานั่นเอง ยังไม่จบครับ เรื่องนี้ว่ากันยาว ไปอ่านต่อกันในตอนที่ 2 ได้เลย คลิกที่นี่